แฮรี่ นิโคไลดส์ บันทึกหลังกรงขัง: ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเขียน ‘หมิ่นสถาบันฯ’
“มันน่าอับอาย”… แฮรี่ นิโคไลด์ส นักเขียนชาวออสเตรเลียผู้ใฝ่ฝันจะประสบความสำเร็จถูกศาลไทยพิพากษาให้จำคุก 3 ปี ด้วยข้อหาว่ากล่าวพาดพิงถึงรัชทายาทในหนังสือที่เขาเขียน ด้านซ้ายเป็นจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาส่งออกมาจากเรือนจำ
7 กุมภาพันธ์ 2552
เราถูกปลุกตอน 6 โมงเช้า และผู้คุมจะมานับจำนวนนักโทษในห้องขัง ห้องขังที่เราอยู่ยาว 12 เมตร และแคบแค่ 4 เมตร แต่บรรจุนักโทษอยู่ถึง 50-60 คน เกือบทั้งหมดเป็นคนไทย เกือบทั้งหมดต้องคดีฆาตกรรมและข่มขืนกระทำชำเรา ในนั้นมีห้องน้ำเพียงหนึ่งห้อง โถส้วมเป็นแบบนั่งยองๆ ติดกับพื้น และมีการระบายอากาศที่แย่ ผมต้องนอนสวมผ้าปิดจมูก เนื่องจากวัณโรคและปอดบวมเป็นโรคที่เป็นกันทั่วไปในคุก ผมอยู่ในคุกนี้มา 5 เดือนแล้ว นับตั้งแต่ถูกจับในเดือนกันยายน
หนังสือ Verisimilitude เป็นความพยายามอย่างมะงุมมะงาหราของผมในการเขียนนวนิยายเป็นเรื่องแรก ซึ่งพิมพ์ออกมาเพียงแค่ 50 เล่ม และขายได้แค่ 7 เล่ม ผมรักประเทศไทยและเคารพในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ไม่เคยมีเจตนาจะล่วงละเมิดพระองค์ใดๆ เลย
ผมดื่มน้ำเต้าหู้กับขนมปังกรอบเป็นอาหารเช้า จากนั้น นักโทษจะล้างหน้าโกนหนวดรอบๆ อ่างน้ำที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก น้ำในอ่างจะมีการเปลี่ยนอาทิตย์ละครั้ง ต่อมา นักโทษก็จะมารวมกันเพื่อเคารพธงชาติ และสวดมนตร์ต่อหน้าพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ ผมจะใช้เวลาช่วงนี้รวบรวมความคิดและคิดถึงคนที่ผมรัก
ผู้คุมจะพูดอะไรยาวๆ เป็นภาษาไทย ผมเดาเอาว่าคงเป็นเรื่องการปฏิบัติตัวภายในคุก
ต่อมา ผมก็จะถูกพาตัวขึ้นบันไดไปกับนักโทษชาวต่างชาติคนอื่นๆ เพื่อไปทำความสะอาดห้องขังในตึกอื่น
จากนั้น เราจะมีช่วงเวลาอิสระสักพักหนึ่ง ผมเคยเดินไปรอบๆ ได้พบกับนักโทษชายที่ป่วย เช่น เป็นวัณโรค นั่งอ่อนแรงอยู่ตามม้านั่ง นอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว มันยังทำให้ผมรู้สึกอ่อนล้า ดังนั้น ผมจึงพยายามใช้เวลาให้หมดไปกับการตอบจดหมายจำนวนมากมายที่ผมได้รับ จดหมายเหล่านี้ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้
เราได้รับอนุญาตให้พบปะกับคนที่มาเยี่ยมได้วันละ 30 นาที ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการ แต่หลังการมาเยี่ยมของครอบครัวหรือเพื่อน ช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุดก็มาเยือนห้องขังของผมอีกครั้ง ผมรู้สึกแย่เมื่อคิดว่า พวกเขาต้องทนทุกข์มากแค่ไหน
กริ่งบอกเวลาอาหารกลางวันดังขึ้นตอนเที่ยง อาหารส่วนมากจะเป็นข้าวกับต้มยำก้างปลาที่เผ็ดมากๆ ผมต้องพยายามกินเข้าไปด้วยความรู้สึกแย่เหลือทน
ผมไม่อาจปล่อยให้ตัวเองป่วยได้ แค่ความรู้สึกกดดันทางจิตใจก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น ทางบ้านจึงต้องเอาไก่กับสลัดมาให้ผมทุกวัน
ที่โรงอาหาร มีแมวสัก 20 หรือ 25 ตัว วิ่งไปวิ่งมาก่อนที่นักโทษจะไปถึง บางคนจะเอาบุหรี่ยัดปากมัน หรือไม่ก็ทำอะไรบางอย่างกับมัน ที่แย่จนผมไม่สามารถอธิบายได้
ผมต้องเดินเท้าเปล่าเกือบทั้งวัน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของมาตรการป้องกันการแหกคุก เพราะว่าเราจะได้ปีนข้ามกำแพงที่มีลวดหนามเดินกระแสไฟฟ้าไม่ได้ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องประเพณีปฏิบัติในคุก แต่พื้นก็มักจะเต็มไปด้วยก้างปลา, น้ำลาย และก็อ้วกแมว ซึ่งทำให้เท้าของผมดำปี๋
เวลาไปขึ้นศาล ผมก็ต้องถูกตีตรวน ซึ่งเป็นวิธีล้าสมัยที่ใช้กันในยุคเก่า มันทำให้นักโทษรู้สึกอับอายและเกิดความละอาย นอกจากนี้แล้ว มันยังครูดข้อเท้าและทำให้เป็นแผลถลอก
ผู้คุมขู่ว่า ไม่ยากหรอกที่จะตีตรวนนักโทษในเรือนจำซักคนเหมือนที่ผมถูกล่ามตอนไปขึ้นศาล มันทำให้ผมต้องระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ผมได้พบคนที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง อย่างวิคเตอร์ เบาท์ (Viktor Bout) ผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นนักค้าอาวุธชั้นนำชาวรัสเซีย เขาเป็นคนที่พูดจานุ่มนวลและถ่อมตัวเป็นอย่างมาก
วิกเตอร์เอากระเทียมให้ผมในวันหนึ่งหลังจากนั้น พร้อมด้วยต้นฉบับชีวประวัติของเขาเองมาให้ผมแก้ไข แต่ผมยังไม่ได้เปิดดูเลย มีนักโทษหลายต่อหลายคนที่ส่งบันทึกที่พวกเขาเขียนถึงเรื่องราวในชีวิตและคดีที่พวกเขาต้องโทษให้ผมอ่าน เรื่องของเรื่องก็คือ พวกเขาคิดว่าผมเป็นผู้สื่อข่าวบีบีซี
ตั้งแต่ 4 โมงเย็นจนถึง 6 โมงเช้า เราจะถูกขังอยู่ในห้องขัง พื้นที่นอนของผมกว้างประมาณ 1 ฟุต ยาวเท่าตัวผม ผมไม่อาจพลิกซ้ายพลิกขวาไปโดยไม่ไปทับนักโทษคนอื่นได้ รวมทั้งไม่อาจเหยียดขาออกไปโดยไม่ให้ไปถูกคนอื่นได้
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง ที่พระองค์มีพระชนมายุครบ 81 พรรษา ผมได้เห็นดอกไม้ไฟอยู่ไกลๆ นักโทษบางคนน้ำตาคลอ กล่าวสรรเสริญพระองค์ท่าน ผู้ซึ่งพวกเขาเคารพเหมือนพ่อ ไม่ใช่เพียงเคารพในฐานะพระมหากษัตริย์ ผมไม่ใช่คนไทย แต่ผมก็เป็นลูกชายของพ่อคนหนึ่ง และรู้ว่าความรักที่มีต่อพ่อเป็นอย่างไร ผมกำลังยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ และสวดอ้อนวอนขอให้ในหลวงทรงทราบถึงชะตากรรมที่เลวร้ายของผม และมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษให้ผมด้วย
เมื่อผมกินไก่จนอิ่มแล้ว เพื่อนนักโทษคนไทยก็ขอเศษเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลือไป
ไฟนีออนเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ผมจึงนอนโดยต้องเอากล่องมาวางไว้บนหัวเพื่อบังแสงไฟ ผมนอนกระสับกระส่ายและพลิกตัวไปมาบนเสื่อผืนบางที่ปูทับพื้นแข็งกระด้าง แล้วมันก็จะผ่านไป เพื่อนชาวต่างชาติบอกผมไว้ มันเป็นภาษิตโบราณที่เป็นความจริง แต่ที่นี่เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน
หมายเหตุ
จดหมายถ่ายทอดผ่าน แอนดรูว์ มาร์แชล
แปลและเรียบเรียงจาก
The medieval price an author pays for insulting Thailand’s monarchy
ที่มา เว็บประชาไทย